

โมเดิร์นฮิปปี้
อีกดีกรีของแฟชั่นไทย
วัยรุ่น
เป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านของชีวิตที่สำคัญ
และนับว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยลุ้นกันสุดตัว
เพื่อให้บุตรหลานตนก้าวข้ามช่วงเวลานี้ได้อย่างปลอดภัย
ดังนั้น
จึงไม่น่าแปลกที่วัยรุ่นจะได้รับการจับจ้องและจับตามองการเปลี่ยนแลงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่วัยรุ่นรู้สึกอึดอัด
และแสดงอาการฮึดฮัดให้ปรากฎออกมา
เมื่อรู้สึกว่าผู้ใหญ่เจ้ากี้เจ้าการและบงการวิถีชีวิตเพื่อให้เป็นไปตามอย่างที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี
ว่าเหมาะสม
แต่ธรรมชาติของวัยรุ่นไม่ยอมจำนนต่อการกำหนดดังกล่าวได้ทุกเรื่อง
แม้จะเข้าใจว่าผู้ใหญ่แนะนำตักเตือนด้วยความห่วงใยก็ตาม
การแต่งกายเป็นการแสดงออกในทางหนึ่งที่วัยรุ่นใช้เป็นเครื่องมือในการ
กบฎกับกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่วางระเบียบเอาไว้
นอกจากนี้เพื่อให้สามารถเข้ากลุ่มและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนเขาได้
คล้อยหลังจากแฟชั่นสายเดี่ยวที่ทำให้บรรดาสาว
ๆ เฮโลกันใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น
และบางเบาเข้ารูปกันมากขึ้น
เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาชายหนุ่มน้อยใหญ่
และล่าสุดแฟชั่นที่กำลังมาแรงไล่เฆี่ยนสายเดี่ยวกระเจิงไปคือ
โมเดิรน์ ฮิปปี้
แม้แฟชั่นนี้จะยังไม่ขจรขจายไปไกลถึงหัวเมืองตามต่างจังหวัด
แต่คาดว่าอีกไม่นานคงได้เห็นลามไปได้อีกไกล
เพราะยุคข้อมูลข่าวสารนี้ขนาดเรียนหนังสือทางไกล
แล้วเลี้ยงควายไปด้วยยังทำได้มาแล้ว
แต่ตอนนี้จะยากหน่อยเพราะก่อนไฟจะลามทุ่ง
กระทรวงศึกษาธิการได้สกัดการระบาดได้ก่อน
ด้วยการห้ามย้อมผม
และแต่งกายตามแฟชั่นนี้เข้าโรงเรียนเด็ดขาด
โมเดิร์นฮิปปี้คืออะไร ?
สไตล์ลิสต์ชื่อก้องเมืองไทยให้คำนิยามว่า
เป็นการแต่งกายที่จะสะท้อนความเป็นฉันเองออกมาให้มากที่สุด
โดยการหยิบจับรูปแบบการแต่งกายที่เคยนิยมมาก่อนผนวกกับการสร้างสรรค์ส่วนบุคคลของแต่ละคน
ให้ออกมาเป็นรูปแบบหลุดโลก
และอาจจะรับไม่ค่อยได้ของผู้ใหญ่หลายคน
เพราะการแต่งกายลักษณะนี้ผิดแผกจากคนธรรมดาทั่วไป
นั่นคือ โกรกผมสารพัดสี
ไม่ใช่สีดำ สีน้ำตาล
ที่เป็นเหมือนธรรมชาติ
แต่จะเน้นสีเจ็บ ๆ อย่าง แดง
เขียว ชมพู ส้ม
นอกจากนี้ยังมีการเจาะแหลก
ทั้งใบหู จมูก ปาก
จนกระทั่งมุดกันลงไปเจาะอวัยวะใต้สะดือ
ย้อนกลับไปดูแฟชั่นวัยรุ่นเมืองไทยแต่ละยุคสมัยก็พบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและดับไปโดยช่วงที่วัยรุ่นไทย
เริ่มไหลตามกระแสโลกอย่างชัดเจน
เริ่มขึ้นอย่างจริงจังช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
ตั้งแต่การเลียนแบบการแต่งกายดาราเอกของโลก
อย่าง เอลวิส เพรสลีย์
ไม่ว่าจะเป็นผม เสื้อผ้า
ที่ถอดแบบมาจากภาพยนต์ที่เอลวิสแสดง
จากนั้นมาถึงแฟชั่นมอส เดฟ
หรือแฟชั่นกางเกงขาบานกับกางเกงขาลีบ
จนถึงช่วง ๒๐ ปีหลังมานี้
กระแสความนิยมแฟชั่นสไตล์บูติกมาแรง
และล่าสุด ที่โดดเด่นมากก็คือ
โมเดิร์นฮิปปี้
ซึ่งหากพิจารณาตามกระแสแฟชั่นดังอดีตที่ผ่านมาคาดว่าแฟชั่นนี้คงถอยความนิยมไปเช่นเดียวกับแฟชั่นอื่น
ๆ
ดังนั้นหากจะห้ามไม่ให้วัยรุ่นแต่งกายตามกระแสนิยม
ก็เหมือนกับยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ
ดีไม่ดีการแต่งกายอาจจะหลุดโลกออกไปไกลอีก
ดังนั้นวิธีการที่จะทำให้ได้ผลคือ
อาจจะต้องปล่อยให้เขาได้ทำตามใจอย่างเต็มที่
ในระหว่างนั้นผู้ใกล้ชิดควรให้คำแนะนำ
เสนอทางเลือกที่จะทำให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งไม่ใช่ภาพปลอม ๆ
ที่เกิดจากการแต่งกายภายนอกเท่านั้น
นอกจากนี้การพิจารณาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ก็น่าจะเป็นหัวข้อที่ควรหยิบยกมาคุยกันในครอบครัว
อย่างน้อยก็เข้ากับกระแสสังคมในปัจจุบันที่เน้นการประหยัดเพื่อให้อยู่รอดในศตวรรษหน้าได้
เพราะค่าใช้จ่ายในการเนรมิตตนเองให้กลายเป็นโมเดิร์นฮิปปี้นั้น
ก็มีค่าใช้จ่ายที่งบประมาณสูงเอาการ
เช่น ค่าโกรกสีผมอย่างต่ำ ๘๐๐ -
๑,๐๐๐ บาท
และราคาอาจเพิ่มสูงกว่านี้ถ้าใช้น้ำยาเกรดดีแบบย้อมติดผมนาน
ๆ
หรือใช้บริการในร้านที่ค่อนข้างที่มีชื่อเสียง
ส่วนการเจาะแหลก ทั้งใบหู จมูก
ปาก
รวมถึงการเคลื่อนต่ำไปถึงสะดือ
สนนราคาก็ไม่น้อย อย่างร้าน NOVO
แฟชั่น ย่านถนนข้าวสาร
ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด
ฉบับวันศุกร์ ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒
ว่า
ราคาค่าบริการเจาะลิ้นจะคิดราคาประมาณ
๑,๕๐๐ - ๑,๘๐๐ บาท
แต่ถ้าเจาะอย่างอื่นที่มีความยากมากกว่า
เช่น การเจาะที่อวัยวะเพศ
ราคาจะอยู่ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท
ตัวเลขที่กล่าวมาเป็นเงินที่ต้องจ่ายอย่างต่ำในการเป็นโมเดิร์นฮิปปี้
แต่ราคานี้อาจสูงขึ้นเพราะภายหลังการอาจเกิดผลเสียแก่การเยียวยา
โดยแพทย์ผิวหนัง นพ.ประวิตร
พิศาลบุตร
แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง
กล่าวเตือนว่า
การสักเจาะตามร่างกาย
อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
โดยที่ผ่านมาเคยมีรายงานว่า
วัยรุ่นที่นิยมไปเจาะจมูก
จะทำให้เชื้อแบคทีเรียจากช่องจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่สกปรกมากลอยไปติดที่ลิ้นหัวใจ
ทำให้หัวใจอักเสบ
หากมีก้อนเลือดก็อาจจะทำให้ก้อนเลือดและเชื้อโรคไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง
ทำให้เกิดฝีในสมองและมีอาการแขนขาอ่อนแรง
นอกจากนี้คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง
เช่น
โรคโลหิตไหลไม่หยุดที่เรียกว่า
โฮโมฟีเลีย โรคลิ้นหัวใจพิการ
โรคผิวหนังแพ้และผุพองง่าย
รวมถึงผู้มีประวัติแพ้เครื่องประดับ
แพ้โลหะ หรือนิเกิล
จะต้องหลีกเลี่ยงการสักเจาะโดยเด็ดขาด
และหากการสักเจาะด้วยเครื่องมือไม่สะอาดอาจเกิดการติดเชื้อโรคได้ซึ่งโรคติดเชื้อที่น่ากลัวที่สุดคือ
โรคเอดส์
คุณหมอเล่าว่า
การสักเจาะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
กระทำมาตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ปีที่แล้ว
แต่ ณ เวลานั้น
เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละชุมชน
ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันที่เราสักเจาะเพื่อแฟชั่น
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเริ่มเสื่อม
หรือคนที่สักเจาะเองอาจจะรู้สึกเบื่อ
และเมื่อต้องการสมัครงานก็จะหันมาลบรอยสัก
หรือเย็บปิดรอยเจาะ
ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวทำได้ยาก
เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการสักเจาะหลายเท่าตัว!!!
ข้อแนะนำเหล่านี้ควรที่วัยรุ่นจะได้รับฟังไว้บ้าง
การทำตามแฟชั่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย
(แม้อาจจะเสียเงินบ้าง)
แต่การทำตามแฟชั่นก็ควรดูในเรื่องความเหมาะสมไว้ให้มาก
ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมส่วนบุคคล
ถ้าแต่งแล้วไม่เข้ากับตัวเองก็น่าจะเลิกดีกว่า
อย่าฝืนหรือดันทุรังทำ ๆ ไป
เพราะแฟชั่นสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองส่วนหนึ่ง
ไม่ใช่การเลียนแบบ ตาม ๆ
กันไปโดยไม่ดูตัวเอง
ดูสังคมรอบข้าง
วัยรุ่นหลายคนโชคดีที่คนรอบข้าง
หรือคนในครอบครัวเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้
แต่วัยรุ่นหลายคนอาจจะกำลังเตลิดไปไกลเพราะเขาคิดว่า
ไม่มีใครเข้าใจเขาอย่างแท้จริง
ดังนั้น ทุก ๆคน ที่มีลูกหลาน
มีน้อง
มีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดอยู่ในช่วงวัยรุ่น
ก็น่าจะได้พูดคุยกันแนะนำ
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการแต่งกาย
รวมถึงแนวความคิดในช่วงวัยนี้ให้มากช่วย
ๆ กันประคับประคองกันไป
ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการห้ามปราม
และตั้งข้อรังเกียจรังงอนเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมวัยรุ่นที่ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอแท้จริง