ศูนย์เฝ้าระวังทาง...
บรรณาธิการ
ห้องรับแขก
ฉลาดบริโภค
บอกเล่าเก้าสิบ
ร่วมด้วยช่วยสังคม
ข่าวคนดี
แสดงความคิดเห็น

 

โมเดิร์นฮิปปี้

สื่อโฆษณา ข้าวกล้อง โมเดิร์นฮิปปี้

โมเดิร์นฮิปปี้ อีกดีกรีของแฟชั่นไทย

“วัยรุ่น” เป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านของชีวิตที่สำคัญ และนับว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยลุ้นกันสุดตัว เพื่อให้บุตรหลานตนก้าวข้ามช่วงเวลานี้ได้อย่างปลอดภัย

ดังนั้น   จึงไม่น่าแปลกที่วัยรุ่นจะได้รับการจับจ้องและจับตามองการเปลี่ยนแลงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่วัยรุ่นรู้สึกอึดอัด และแสดงอาการฮึดฮัดให้ปรากฎออกมา เมื่อรู้สึกว่าผู้ใหญ่เจ้ากี้เจ้าการและบงการวิถีชีวิตเพื่อให้เป็นไปตามอย่างที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี ว่าเหมาะสม แต่ธรรมชาติของวัยรุ่นไม่ยอมจำนนต่อการกำหนดดังกล่าวได้ทุกเรื่อง แม้จะเข้าใจว่าผู้ใหญ่แนะนำตักเตือนด้วยความห่วงใยก็ตาม

การแต่งกายเป็นการแสดงออกในทางหนึ่งที่วัยรุ่นใช้เป็นเครื่องมือในการ         กบฎกับกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่วางระเบียบเอาไว้ นอกจากนี้เพื่อให้สามารถเข้ากลุ่มและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนเขาได้

คล้อยหลังจากแฟชั่นสายเดี่ยวที่ทำให้บรรดาสาว ๆ เฮโลกันใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น และบางเบาเข้ารูปกันมากขึ้น เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาชายหนุ่มน้อยใหญ่ และล่าสุดแฟชั่นที่กำลังมาแรงไล่เฆี่ยนสายเดี่ยวกระเจิงไปคือ โมเดิรน์ ฮิปปี้

แม้แฟชั่นนี้จะยังไม่ขจรขจายไปไกลถึงหัวเมืองตามต่างจังหวัด แต่คาดว่าอีกไม่นานคงได้เห็นลามไปได้อีกไกล เพราะยุคข้อมูลข่าวสารนี้ขนาดเรียนหนังสือทางไกล แล้วเลี้ยงควายไปด้วยยังทำได้มาแล้ว แต่ตอนนี้จะยากหน่อยเพราะก่อนไฟจะลามทุ่ง กระทรวงศึกษาธิการได้สกัดการระบาดได้ก่อน ด้วยการห้ามย้อมผม และแต่งกายตามแฟชั่นนี้เข้าโรงเรียนเด็ดขาด

โมเดิร์นฮิปปี้คืออะไร ? สไตล์ลิสต์ชื่อก้องเมืองไทยให้คำนิยามว่า เป็นการแต่งกายที่จะสะท้อนความเป็นฉันเองออกมาให้มากที่สุด โดยการหยิบจับรูปแบบการแต่งกายที่เคยนิยมมาก่อนผนวกกับการสร้างสรรค์ส่วนบุคคลของแต่ละคน ให้ออกมาเป็นรูปแบบหลุดโลก และอาจจะรับไม่ค่อยได้ของผู้ใหญ่หลายคน เพราะการแต่งกายลักษณะนี้ผิดแผกจากคนธรรมดาทั่วไป นั่นคือ โกรกผมสารพัดสี ไม่ใช่สีดำ สีน้ำตาล ที่เป็นเหมือนธรรมชาติ แต่จะเน้นสีเจ็บ ๆ อย่าง แดง เขียว ชมพู ส้ม นอกจากนี้ยังมีการเจาะแหลก ทั้งใบหู จมูก ปาก จนกระทั่งมุดกันลงไปเจาะอวัยวะใต้สะดือ

ย้อนกลับไปดูแฟชั่นวัยรุ่นเมืองไทยแต่ละยุคสมัยก็พบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและดับไปโดยช่วงที่วัยรุ่นไทย เริ่มไหลตามกระแสโลกอย่างชัดเจน เริ่มขึ้นอย่างจริงจังช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่การเลียนแบบการแต่งกายดาราเอกของโลก อย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ไม่ว่าจะเป็นผม เสื้อผ้า ที่ถอดแบบมาจากภาพยนต์ที่เอลวิสแสดง จากนั้นมาถึงแฟชั่นมอส เดฟ หรือแฟชั่นกางเกงขาบานกับกางเกงขาลีบ จนถึงช่วง ๒๐ ปีหลังมานี้ กระแสความนิยมแฟชั่นสไตล์บูติกมาแรง และล่าสุด ที่โดดเด่นมากก็คือ โมเดิร์นฮิปปี้ ซึ่งหากพิจารณาตามกระแสแฟชั่นดังอดีตที่ผ่านมาคาดว่าแฟชั่นนี้คงถอยความนิยมไปเช่นเดียวกับแฟชั่นอื่น ๆ

ดังนั้นหากจะห้ามไม่ให้วัยรุ่นแต่งกายตามกระแสนิยม ก็เหมือนกับยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ดีไม่ดีการแต่งกายอาจจะหลุดโลกออกไปไกลอีก ดังนั้นวิธีการที่จะทำให้ได้ผลคือ อาจจะต้องปล่อยให้เขาได้ทำตามใจอย่างเต็มที่ ในระหว่างนั้นผู้ใกล้ชิดควรให้คำแนะนำ เสนอทางเลือกที่จะทำให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่ภาพปลอม ๆ ที่เกิดจากการแต่งกายภายนอกเท่านั้น

นอกจากนี้การพิจารณาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นหัวข้อที่ควรหยิบยกมาคุยกันในครอบครัว อย่างน้อยก็เข้ากับกระแสสังคมในปัจจุบันที่เน้นการประหยัดเพื่อให้อยู่รอดในศตวรรษหน้าได้ เพราะค่าใช้จ่ายในการเนรมิตตนเองให้กลายเป็นโมเดิร์นฮิปปี้นั้น ก็มีค่าใช้จ่ายที่งบประมาณสูงเอาการ เช่น ค่าโกรกสีผมอย่างต่ำ ๘๐๐ - ๑,๐๐๐ บาท และราคาอาจเพิ่มสูงกว่านี้ถ้าใช้น้ำยาเกรดดีแบบย้อมติดผมนาน ๆ หรือใช้บริการในร้านที่ค่อนข้างที่มีชื่อเสียง

ส่วนการเจาะแหลก ทั้งใบหู จมูก ปาก รวมถึงการเคลื่อนต่ำไปถึงสะดือ สนนราคาก็ไม่น้อย อย่างร้าน NOVO แฟชั่น ย่านถนนข้าวสาร ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันศุกร์ ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒ ว่า ราคาค่าบริการเจาะลิ้นจะคิดราคาประมาณ ๑,๕๐๐ - ๑,๘๐๐ บาท แต่ถ้าเจาะอย่างอื่นที่มีความยากมากกว่า เช่น การเจาะที่อวัยวะเพศ ราคาจะอยู่ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท

ตัวเลขที่กล่าวมาเป็นเงินที่ต้องจ่ายอย่างต่ำในการเป็นโมเดิร์นฮิปปี้ แต่ราคานี้อาจสูงขึ้นเพราะภายหลังการอาจเกิดผลเสียแก่การเยียวยา โดยแพทย์ผิวหนัง นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง กล่าวเตือนว่า การสักเจาะตามร่างกาย อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ โดยที่ผ่านมาเคยมีรายงานว่า วัยรุ่นที่นิยมไปเจาะจมูก       จะทำให้เชื้อแบคทีเรียจากช่องจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่สกปรกมากลอยไปติดที่ลิ้นหัวใจ ทำให้หัวใจอักเสบ หากมีก้อนเลือดก็อาจจะทำให้ก้อนเลือดและเชื้อโรคไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง ทำให้เกิดฝีในสมองและมีอาการแขนขาอ่อนแรง

นอกจากนี้คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคโลหิตไหลไม่หยุดที่เรียกว่า โฮโมฟีเลีย โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคผิวหนังแพ้และผุพองง่าย รวมถึงผู้มีประวัติแพ้เครื่องประดับ แพ้โลหะ หรือนิเกิล จะต้องหลีกเลี่ยงการสักเจาะโดยเด็ดขาด และหากการสักเจาะด้วยเครื่องมือไม่สะอาดอาจเกิดการติดเชื้อโรคได้ซึ่งโรคติดเชื้อที่น่ากลัวที่สุดคือ โรคเอดส์

คุณหมอเล่าว่า การสักเจาะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ กระทำมาตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ปีที่แล้ว แต่ ณ เวลานั้น เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละชุมชน ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันที่เราสักเจาะเพื่อแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเริ่มเสื่อม หรือคนที่สักเจาะเองอาจจะรู้สึกเบื่อ และเมื่อต้องการสมัครงานก็จะหันมาลบรอยสัก หรือเย็บปิดรอยเจาะ ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวทำได้ยาก เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการสักเจาะหลายเท่าตัว!!!

ข้อแนะนำเหล่านี้ควรที่วัยรุ่นจะได้รับฟังไว้บ้าง การทำตามแฟชั่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย (แม้อาจจะเสียเงินบ้าง) แต่การทำตามแฟชั่นก็ควรดูในเรื่องความเหมาะสมไว้ให้มาก ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมส่วนบุคคล ถ้าแต่งแล้วไม่เข้ากับตัวเองก็น่าจะเลิกดีกว่า อย่าฝืนหรือดันทุรังทำ ๆ ไป เพราะแฟชั่นสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองส่วนหนึ่ง ไม่ใช่การเลียนแบบ ตาม ๆ กันไปโดยไม่ดูตัวเอง ดูสังคมรอบข้าง

วัยรุ่นหลายคนโชคดีที่คนรอบข้าง หรือคนในครอบครัวเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ แต่วัยรุ่นหลายคนอาจจะกำลังเตลิดไปไกลเพราะเขาคิดว่า ไม่มีใครเข้าใจเขาอย่างแท้จริง ดังนั้น ทุก ๆคน ที่มีลูกหลาน มีน้อง มีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็น่าจะได้พูดคุยกันแนะนำ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการแต่งกาย รวมถึงแนวความคิดในช่วงวัยนี้ให้มากช่วย ๆ กันประคับประคองกันไป ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการห้ามปราม และตั้งข้อรังเกียจรังงอนเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมวัยรุ่นที่ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอแท้จริง


ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม